มกุฎราชกุมารีแห่งโรมาเนีย (ค.ศ. 1893 - 1914) ของ สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย

พระชนม์ชีพภายในประเทศ

เจ้าหญิงมารี ขณะทรงดำรงเป็นมกุฎราชกุมารี ในปีค.ศ. 1893 พระบรมฉายาลักษณ์นี้เป็นภาพแรกที่ถูกฉายขึ้นในโรมาเนีย [47]

ในช่วงปีแรกของการอภิเษกสมรสระหว่างมกุฎราชกุมารีมารีและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์นั้นไม่ง่าย และเจ้าหญิงมารีทรงบอกพระสวามีในภายหลังว่า "มันเป็นเรื่องน่าละอายจริงๆที่เราทั้งคู่ต้องเสียเวลาเป็นเวลาหลายปีในช่วงวัยรุ่นเพียงเพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกัน!"[48] ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ได้ค่อยๆพัฒนาเป็นมิตรภาพที่จริงใจอย่างช้าๆ เจ้าหญิงมารีทรงเคารพมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง และต่อมาเป็นพระมหากษัตริย์ และมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ก็ทรงเคารพเจ้าหญิงมารีในฐานะที่เจ้าหญิงทรงเข้าใจในโลกนี้ดีกว่าพระองค์[49] ในที่สุดเจ้าหญิงมารีก็ทรงเชื่อว่า พระองค์กับมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์เป็น "เพื่อนร่วมงานที่ดีที่สุด เป็นสหายที่ดีที่สุด แต่ชีวิตของเราประสานเข้ากันได้ในบางเรื่อง"[50] มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงโปรดมากเมื่อเจ้าหญิงมารีทรงปรากฏพระองค์ในระหว่างการสวนสนามของทหารและทำให้เจ้าหญิงทรงได้รับเชิญมายังงานเหล่านี้บ่อยครั้ง[51]

เจ้าหญิงมารีทรงมีพระประสูติกาลบุตรพระองค์แรกคือ เจ้าชายคาโรล ในเวลาเพียงเก้าเดือนหลังจากอภิเษกสมรส ในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1893 ถึงแม้ว่าเจ้าหญิงมารีจะทรงขอใช้คลอโรฟอร์มเพื่อระงับอาการเจ็บปวด แต่เหล่าแพทย์ไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น แพทย์หลวงโรมาเนียเชื่อว่า "ผู้หญิงทุกคนจะต้องชดใช้ด้วยความเจ็บปวดจากบาปของอีฟ" หลังจากที่พระมารดาของเจ้าหญิงมารีและสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงยืนยันตามคำขอของเจ้าหญิง ในที่สุดพระเจ้าคาโรลทรงอนุญาตให้พระสุณิสาสามารถใช้ยาได้[52] เจ้าหญิงมารีไม่ทรงมีความสุขมากนักหลังจากมีพระประสูติกาลพระโอรสองค์แรก ต่อมาทรงเขียนว่า "รู้สึกเหมือนเอาหัว (ของเจ้าหญิงมารี) หันไปชนผนัง"[53] ในทำนองเดียวกันแม้ว่าเจ้าหญิงมารีจะทรงได้รับการย้ำเตือนอย่างต่อเนื่องจากพระมเหสีในพระเจ้าคาโรลคือ สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ที่ทรงเห็นว่าการที่เจ้าหญิงทรงมีบุตรถือว่า "เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิต (ของเจ้าหญิงมารี)" เจ้าหญิงทรงนึกถึงพระมารดาของพระองค์จากการที่ทรงมีพระประสูติกาลบุตรพระองค์ที่สองคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ในปีค.ศ. 1894[54] หลังจากทีทรงคุ้นเคยกับการใช้พระชนม์ชีพในโรมาเนีย เจ้าหญิงมารีทรงเริ่มมีความสุขจากการมีพระประสูติกาลพระโอรสธิดา[55] ซึ่งได้แก่ เจ้าหญิงมาเรีย (ค.ศ. 1900 - 1961) ทรงมีพระนามที่เรียกกันในราชวงศ์ว่า "มิกนอน" <Mignon>, เจ้าชายนิโคลัส (ค.ศ. 1903 - 1978) ทรงมีพระนามที่เรียกกันในราชวงศ์ว่า "นิกกี้" <Nicky>[56], เจ้าหญิงอีเลียนา (ค.ศ. 1909 -1991) และ เจ้าชายเมอร์เซีย (ค.ศ. 1913 - 1916)

พระเจ้าคาโรลและสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงนำเจ้าชายคาโรลและเจ้าหญิงเอลิซาเบธออกจากการดูแลของเจ้าหญิงมารีในทันที โดยทรงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมที่ให้อยู่ภายใต้การอภิบาลโดยพระบิดามารดาที่ยังเป็นวัยรุ่น[57] เจ้าหญิงมารีทรงรักพระโอรสธิดามาก แต่ก็ทรงพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะทรงสามารถว่ากล่าวตักเตือนพระโอรสธิดาได้ บางครั้งจึงทรงรู้สึกว่าไม่สามารถดูแลพระโอรสธิดาได้อย่างถูกต้อง[58] ดังนั้นพระโอรสธิดาจะได้รับการศึกษาในบางส่วน แต่ไม่เคยถูกส่งไปโรงเรียน ในฐานะที่เป็นเชื้อพระวงศ์จึงไม่สามารถให้การศึกษาในชั้นเรียนได้ ซึ่งทำให้บุคลิกส่วนใหญ่ของพระโอรสธิดาได้สร้างข้อบกพร่องอย่างรุนแรงเมื่อเจริญพระชันษา[59] เอียน จี. ดูคา ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยหลัง ได้เขียนบันทึกในเวลาต่อมาว่า "ดูเหมือนว่า [พระเจ้าคาโรล] จะประสงค์ที่จะปล่อยให้รัชทายาทโรมาเนียไม่มีความพร้อมในการสืบราชบัลลังก์"[60]

พระชนม์ชีพในราชสำนัก

ตั้งแต่เริ่ม มกุฎราชกุมารีมารีทรงประสบปัญหาในการปรับตัวเข้ากับชีวิตในโรมาเนีย บุคลิกภาพและ"จิตวิญญาณสูงสุด"ของพระองค์ได้สร้างข้อถกเถียงอย่างมากในราชสำนักโรมาเนีย และพระองค์ไม่ทรงโปรดบรรยากาศที่เคร่งครัดในราชวงศ์ของพระองค์[61] พระองค์ทรงเขียนว่าพระองค์เอง "ไม่ได้ถูกพามาโรมาเนียเพื่อให้เป็นที่รักหรือเป็นที่พูดถึง และที่มากที่สุดคือ พระองค์ทรงเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องจักรของพระเจ้าคาโรลที่ได้สร้างรอยแผลขึ้นในตัวของพระองค์ พระองค์ได้ถูกนำเข้ามาเพื่อประดับตกแต่ง, รับการศึกษา, ทำให้มีความสำคัญลดลงและถูกฝึกอบรมตามความคิดของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่" เมื่อบรรยายถึงช่วงต้นๆในโรมาเนีย มกุฎราชกุมารีมารีทรงเขียนว่า "เป็นเวลานานที่ [พระองค์] รู้สึกเซื่องซึมในขณะที่พระสวามีหนุ่ม [ของพระองค์] ทรงเข้ารับราชการทหาร ทั้งหมดนี้ทำให้ต้องโดดเดี่ยวในห้องพักที่ [พระองค์] ทรงเกลียด เป็นห้องแบบเยอรมันขนาดใหญ่"[62] สมเด็จพระจักรพรรดินี พระพันปีหลวงแห่งเยอรมันทรงเขียนจดหมายถึงมกุฎราชกุมารีแห่งกรีซ พระราชธิดาว่า "มิสซีแห่งโรมาเนียน่าสงสารกว่าลูกอีกนะ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ปกครองที่เผด็จการที่สุดในครอบครัวของพระองค์ และทรงบดขยี้อิสรภาพของเฟอร์ดินานด์ดังนั้นจึงทำให้ไม่มีใครสนใจในตัวเขาและภรรยาของเขาผู้งดงามและน่ารัก แม่กลัวว่าเธอจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และเหมือนกับผีเสื้อแทนที่จะบินตอมดอกไม้ แต่ได้เผาปีกที่งดงามของเธอโดยการบินเข้าไปใกล้กองไฟ!"[63] พระองค์ทรงเรียนรู้ภาษาโรมาเนียอย่างง่ายดาย พระองค์ทรงทำตามคำแนะนำของพระมารดาที่ต้องระมัดระวังในการแต่งกายและแสดงความเคารพต่อพิธีกรรมออร์โธดอกซ์

มกุฎราชกุมารีมารีและมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงได้รับการแนะนำจากพระมหากษัตริย์ที่ให้คงจำกัดกลุ่มของพระสหาย ดังนั้น พระองค์ทรงเสียพระทัยมากที่วงล้อมครอบครัวของพระองค์ได้ลดเหลือเพียงแค่พระมหากษัตริย์และมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ "ผู้ซึ่งยืนหยัดอย่างหวาดกลัวอย่างมากต่อชายชราพระหัตถ์เหล็ก ซึ่งทรงสั่นเทิ้มตลอดทุกการกระทำ [ของมารี] ที่อาจจะสร้างความไม่พอใจแก่หน้าที่ของพระประมุขของราชวงศ์"[62] ในหนังสือเสริมนิตยสารไทม์ได้เขียนว่าพระนางมารีทรงพบว่าพระองค์เอง "จากช่วงเวลาที่มาถึงบูคาเรสต์ ทรงต้องอยู่ภายใต้การปกครองที่เข้มงวดของพระเจ้าคาโรลที่ 1"[64]

ในปีค.ศ. 1896 มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์และมกุฎราชกุมารีมารีทรงย้ายไปประทับที่พระราชวังโคโทรเซนี ที่ซึ่งได้รับการขยับขยายโดยกริกอร์ เซอร์เชส สถาปนิกชาวโรมาเนีย และพระนางมารีทรงเพิ่มการออกแบบของพระนางเองด้วย[65] ในปีถัดมา มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงพระประชวรด้วยโรคไข้รากสาดน้อย ทุกวัน พระองค์ทรงเพ้อและแม้ว่าแพทย์จะพยายามอย่างดีที่สุดแล้วแต่พระองค์ทรงใกล้จะสิ้นพระชนม์[66] ในช่วงเวลานี้ พระนางมารีทรงเขียนจดหมายแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนมากกับครอบครัวของพระนางในอังกฤษ[67] และทรงหวาดกลัวที่จะต้องสูญเสียพระสวามี พระเจ้าคาโรลยังทรงมีรัชทายาทอีกพระองค์คือ เจ้าชายคาโรล ผู้ซึ่งยังทรงพระเยาว์นัก ดังนั้นทุกคนในราชวงศ์ต่างต้องการให้มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงฝ่าฟันโรคภัยไปได้ ในที่สุดพระองค์ก็ทำได้สำเร็จ พระองค์และพระนางมารีได้เสด็จไปยังซินายอา ประทับที่ปราสาทเปเรส เพื่อฟื้นฟูพระวรกาย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองพระองค์ก็ไม่สามารถเข้าร่วมพระราชพิธีพัชราภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียในฤดูร้อนได้ ในช่วงการพักฟื้นของมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ พระนางมารีทรงใช้เวลาร่วมกับพระราชบุตรทั้งสองพระองค์ โดยทรงมีพระดำเนินและเก็บดอกไม้ร่วมกัน[68] ในฤดูหนาวปีค.ศ. 1897/1898 ทรงใช้เวลาร่วมกับพระราชวงศ์รัสเซียที่เฟรนช์ริวีเอรา ที่ซึ่งพระนางมารีได้ทรงม้าทั้งๆที่อากาศหนาวเย็น[69]

จากซ้าย: เจ้าหญิงเบียทริซ, เจ้าหญิงวิกตอเรีย เมลิตา, เจ้าหญิงอเล็กซานดรา และพระนางมารี ในฉลองพระองค์ไว้ทุกข์หลังการสิ้นพระชนม์ของพระราชบิดาในปีค.ศ. 1900

ในช่วงนี้ มกุฎราชกุมารีมารีทรงพบกับร้อยโท จอร์จี คานตาคูซีเน เป็นสมาชิกที่มมาจากเชื้อสายนอกสมรสของเชื้อพระวงศ์ผู้ครองแคว้นในสมัยโบราณของโรมาเนียและเป็นเชื้อสายของเจ้าชายเซอร์บาน คานตาคูซีโน ถึงแม้รูปโฉมจะไม่หล่อเหลาเท่าไหร่ แต่คานตาคูซีเนเป็นคนที่มีอารมณ์ขันและแต่งตัวดี และมีความสามารถในการขี่ม้า[70] ทั้งคู่ได้เริ่มมีความรักแก่กัน แต่เรื่องอื้อฉาวนี้ได้สิ้นสุดเมื่อสาธารณะได้รับรู้ พระราชมารดาของพระนางมารีทรงประณามพฤติกรรมของพระธิดาและทรงโปรดให้พระธิดาเสด็จมายังโคบูร์กเมื่อพระนางมารีทรงพระครรภ์ในปีค.ศ. 1897 นักประวัติศาสตร์ จูเลีย เกลาร์ดี เชื่อว่าพระนางมารีมีพระประสูติกาลบุตรที่โคบูร์ก และบุตรอาจจะเสียชีวิตตั้งแต่เกิดหรือไม่ก็ถูกส่งไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทันที[71] มีการคาดเดากันว่า "เจ้าหญิงมิกนอน" พระธิดาองค์ที่สองของพระนางมารี ที่จริงแล้วเป็นบุตรที่ประสูติกับคานตาคูซีเน ไม่ใช่มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์[72] ในปีถัดๆมา มีข่าวลือว่าพระนางมารีทรงมีความสัมพันธ์กับแกรนด์ดยุกบอริส วลาดีมีโรวิชแห่งรัสเซีย,[note 2] วัลดอร์ฟ อัสเตอร์,[note 3] เจ้าชายบาร์บู สเตอบีย์,[note 4] และโจ บอยล์[79] ในปีค.ศ. 1903 มกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์และพระนางมารีทรงเปิดปราสาทเปลีซอร์ เป็นปราสาทในสถาปัตยกรรมแบบนวศิลป์ที่เมืองซินายอา ซึ่งพระเจ้าคาโรลทรงมอบให้กับทั้งสองพระองค์ พระนางมารีทรงได้เรียนรู้ถึงขอบเขตการอดกลั้นซึ่งนำไปสู่การปราบปรามกบฏชาวนาโรมาเนียค.ศ. 1907 ซึ่งสายเกินไปที่จะทรงพยายามไกล่เกลี่ย หลังจากนั้นพระนางได้ทรงฉลองพระองค์ชุดพื้นบ้านโรมาเนียบ่อยๆทั้งในที่ประทับและที่สาธารณะและทรงเริ่มทิศทางแฟชั่นการแต่งกายแบบนี้ในหมู่เด็กสาวชนชั้นสูง

ในวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 1913 ราชอาณาจักรบัลแกเรียได้ประกาศสงครามกับราชอาณาจักรกรีซ เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามบอลข่านครั้งที่สอง ในวันที่ 4 กรกฎาคม โรมาเนียได้เข้าร่วมสงคราม โดยเป็นพันธมิตรกับกรีซ[80] สงครามได้ดำเนินเป็นระยะเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน แต่กลับแย่ลงเนื่องจากมีการระบาดของอหิวาตกโรค พระนางมารีทรงเผชิญครั้งแรกกับการระบาดของโรคซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนในพระชนม์ชีพของพระนาง ด้วยการช่วยเหลือจากนายแพทย์ เอียน คานตาคูซิโนและซิสเตอร์ พุคชี นางพยาบาลจากกาชาด พระนางมารีทรงเดินทางไปทั่วโรมาเนียและบัลแกเรีย เพื่อขอความร่วมมือจากโรงพยาบาล[81] เหตุการณ์เหล่านี้ได้ตระเตรียมให้พระนางเพื่อประสบการณ์ในสงครามโลก[81] ผลของสงครามทำให้เกิดสนธิสัญญาบูคาเรสต์ (1913) โรมาเนียได้ครอบครองโดบรูจาใต้ รวมทั้งบอลคิค [Balchik (Balcic)] เมืองชายฝั่งทะเล ที่ซึ่งพระนางมารีทรงหวงแหนมากในปีค.ศ. 1924 และมักจะทรงใช้เป็นที่ประทับของพระนาง หลังจากสงครามสิ้นสุด[82] พระเจ้าคาโรลที่ 1 ทรงพระประชวร

ในวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 ที่เมืองซาราเยโว อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันด์แห่งออสเตรีย องค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ ข่าวนี้ได้ทำให้พระนางมารีและพระราชวงศ์ต้องตกตะลึงอย่างมาก ซึ่งทรงกำลังพักผ่อนอยู่ที่ซินายอาเมื่อข่าวได้มาถึง ในวันที่ 28 กรกฎาคม ออสเตรีย-ฮังการีประกาศสงครามต่อเซอร์เบียและพระนางมารีทรงเห็นว่า "สันติภาพโลกได้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย" จากนั้นในวันที่ 3 สิงหาคม พระเจ้าคาโรลทรงเรียกประชุมสภาที่ปรึกษาราชบัลลังก์โรมาเนียที่ซินายอา เพื่อทรงตัดสินพระทัยว่าโรมาเนียควรเข้าร่วมสงคราม ถึงแม้ว่าพระเจ้าคาโรลทรงโปรดที่จะให้ประเทศของพระองค์สนับสนุนเยอรมนีและฝ่ายมหาอำนาจกลาง แต่สภาได้ตัดสินใจต่อต้านพระราชประสงค์ ไม่นานหลังจากการประชุมสภา พระอาการประชวรของพระเจ้าคาโรลได้แย่ลงและในที่สุดต้องทรงประทับบนแท่นบรรทมตลอด มีการกล่าวกันว่าพระองค์อาจจะสละราชบัลลังก์[83] ในที่สุด พระองค์เสด็จสวรรคตในวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1914 และมกุฎราชกุมารเฟอร์ดินานด์ทรงสืบราชบัลลังก์เป็นพระมหากษัตริย์โดยทันที

ใกล้เคียง

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา

แหล่งที่มา

WikiPedia: สมเด็จพระราชินีมารีแห่งโรมาเนีย http://www.bran-castle.com/royal-residence.html http://www.britishpathe.com/record.php?id=18985 http://www.britishpathe.com/record.php?id=20502 http://www.britishpathe.com/record.php?id=2697 http://www.britishpathe.com/record.php?id=3733 http://www.britishpathe.com/record.php?id=3737 http://www.britishpathe.com/record.php?id=7179 http://www.britishpathe.com/record.php?id=76568 http://www.britishpathe.com/record.php?id=79132 http://www.dvoreca.com/index.php?lang=EN